Q2 ขายชาเขียวคิดเป็นขวดได้เท่ากับ 207 ล้านขวด ซึ่งบริษัทมีกำลังการผลิตปีละ 600 ล้านขวด + 200 ล้านกล่อง การโปรโมชั่นแรงๆ ย่อมสร้างผลดีกับบริษัทเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะทำให้ใช้กำลังการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อดูจากยอดขาย 207 ล้านขวดในไตรมาส 2 แปลว่าบริษัทน่าจะเข้าใกล้กำลังการผลิตสูงสุด ต้นทุนต่อหน่วยจึงต่ำลง (อัตราต้นทุน Q2 เหลือ 61% เทียบกับ 64% ใน Q1) ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับผู้บริโภค ที่หลายๆ ท่านอาจสงสัยว่าบริษัทเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเบนซ์? ถ้าเอา “ยอดขายส่วนเพิ่ม” ของไตรมาส 2 ประมาณ 250 ล้านบาท หักกับต้นทุนขาย 117 ล้านบาท ก็ยังเหลือตั้ง 133 ล้านบาทที่สามารถเอาไปใช้จ่ายทางการตลาด โดยบริษัทนำไปจ่ายค่าใช้จ่ายในการขาย 115 ล้านบาทซึ่งก็น่าจะเป็นค่าเบนซ์ จึงพอสรุปได้ว่าบริษัทเอาเงินยอดขายชาเขียวที่เพิ่มขึ้นมาซื้อเบนซ์จับฉลาก… ไม่ได้ชักเนื้อตัวเอง
แล้วถ้ามองในมุมคนกินชาเขียว ถ้าเราจ่ายซื้อ 1 ขวด 13 บาท แล้วใครจะได้อะไรไปเท่าไร? คำตอบก็คือ 7-11 ได้กำไร 3 บาท คนกินได้กินน้ำหวานต้นทุน 5 บาท เป็นค่าการตลาด (สมทบทุนซื้อเบนซ์ ค่าโฆษณา ค่า SMS ฯลฯ) 4 บาท ซึ่งถ้าหวังเสี่ยงโชคแล้วคุ้มหรือไม่? อัตราการเสี่ยงโชคอยู่ที่เท่าไร? คำตอบก็คือ ยอดขายของไตรมาส 2,106 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนขวดที่ขายได้ 207 ล้านขวด โดยมีจำนวนรางวัล 50 รางวัล ดังนั้น อัตราการถูกรางวัลคือ 1 รางวัล : 4.14 ล้านขวด ที่มา สมาชิกเฟซบุ๊ค ชื่อคุณ Somsak Pratomsrimek
No comments:
Post a Comment